วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Sherlock Homes ยอดนักสืบสุดคลาสสิกในยุคปัจจุบัน






"เมื่อเราตัดประเด็นข้อที่อาจเป็นไปได้หมดแล้ว
ข้อที่เหลือถึงไม่น่าจะเป็นได้อย่างไรมันก็คือ...
ความจริง"



...........................................



ประโยคสุดคลาสสิกจากยอดนับสืบของโลกที่ชื่อว่า'เชอร์ล็อค โฮล์มส์'เขาเป็นตัวละครที่ใครๆก็รู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยการสืบสวนอันเป็นเอกลักษณ์และสมองที่ชาญฉลาดจนเหลือเชื่อ จนสามารถวิเคราะห์ทุกอย่างได้แม้กระทั่งเห็นเพียงแวบเดียว บวกกับเนื้อเรื่องที่สนุกสนานและเข้มข้นน่าติดตาม ต้องขอบคุณเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ที่สามารถแต่งเรื่องราวที่สนุกสนานขนาดนี้ได้และเป็นที่จดจำของคนทั่วโลกแม้เวลาจะผ่านมา 200 ปีแล้วก็ตามที

แน่นอนว่าเชอร์ล็อค โฮล์มส์นั้นย่อมมีการนำมาทำใหม่ในรูปแบบต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนต์
, ซีรี่ย์ ,การ์ตูน และอื่นๆอีกมากมาย ทำให้พวกเรารู้จักโฮล์มส์กันทุกคนแม้จะไม่เคยอ่านฉบับนิยายดั้งเดิมเลยก็ตาม (ฉบับดั้งเดิมมีจัดจำหน่ายอยู่นะครับ เป็นของสำนักพิมพ์แพรวสำนักพิมพ์ที่เป็นแบบแปลครั้งแรกจริงๆทำให้ภาษานั้นเก่ามากจนผู้เขียนอ่านเองก็ต้องทบทวนหลายรอบกว่าจะเข้าใจ) และคราวนี้ผู้เขียนได้ดูซีรีย์ชุุดหนึ่งของ BBC ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นซีรี่ย์ของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ อย่างแน่นอน แต่ทว่าเป็นเชอร์ล็อคในยุค 2010 นะครับ

เรื่องย่อตอนแรกเริ่มต้นโดย จอห์น วัตสัน อดีตทหารผ่านศึกที่ถูกยิงจนต้องเดินกะเผลกๆไปมา ทั้งๆที่ตัวเขานั้นไม่ได้พิการอะไรเลยแม้แต่น้อย เขานั้นอาศัยอยู่ในลอนดอน เขาได้พบเพื่อนเก่าคนหนึ่งและเพื่อนคนนั้นก็ได้เสนอว่ามีห้องเช่าเหลืออยู่และมีคนต้องการจะเช่าเหมือนกันพอดี จอห์นสนใจมากและยอมรับข้อตกลงนั้นและได้ไปยังห้องแลปแห่งหนึ่งเพื่อไปหาเพื่อนร่วมห้องคนที่ว่านี้

ณ ห้องแลป เชอร์ล็อค โฮล์มส์ กำลังทำการตรวจสอบศพอยู่(ด้วยการเอาไม้ฟาดศพอย่างแรงหลายครั้ง)ทันทีที่เขาเห็นจอห์นเขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าจอห์นนั้นเป็นอดีตทหารที่ถูกส่งไปอัฟกานิสถาน และนอกจากนั้นยังกล่าวด้วยว่าสาเหตุที่เขาเดินกะเผลกนั้นน่าจะมาจิตใจไม่ใช่ร่างกาย ซึ่งจอห์นเองก็อึ้งทันที แต่พอเขาถามว่าเชอร์ล็อครู้ได้อย่างไรเจ้าตัวก็อธิบายอย่างละเอียด(ไปดูในซีรีย์เองนะครับมันละเอียดจนจำไม่ได้)

ต่อมาตัดมาที่ลอนดอนที่เกิดคดีประหลาดขึ้น โดยมีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้น 4 ครั้งและแต่ละครั้งล้วนตายด้วยการกินยาพิษเหมือนกันทั้งหมดทำให้กรมตำรวจงุนงงและประหลาดใจ เชอร์ล็อคจึงโชว์ความเก่ง(เกรียน)ด้วยการส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือทุกคนในงานแถลงข่าวว่านี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย ทำให้สารวัตรเลสเตรดต้องหงุดหงิดอีกครั้ง จนกระทั่งเกิดคดีที่ 5 ขึ้นโดยที่สถานการณ์เหมือนกันทั้งหมด
เชอร์ล็อคจึงถูกเรียกตัวไปยังที่เกิดเหตุอีกครั้ง แต่เขาได้พาจอห์นเพื่อนใหม่ไปด้วย ระหว่างทางโฮล์มส์ได้สันนิษฐานเกี่ยวกับประวัติของพี่ของจอห์นผ่านทางโทรศัพท์มือถือและถูกต้องหมดทุกอย่าง(สำหรับแฟนๆของโฮล์มส์คงจะทราบดีว่าในนิยายนั้นจะเป็นนาฬิกาพกครับไม่ใช่มือถือ)ทำให้จอห์นอึ้งไปอีกครั้ง

พอถึงที่เกิดเหตุก็พบว่ามีคำว่า Rachel ซึ่งเป็นภาษาสเปนแปลว่าการแก้แค้น และโฮล์มส์ก็ค้นพบสิ่งที่ควรจะมีกลับไม่มีในกระเป๋าของหญิงผู้ตายนั่นก็คือโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าเงิน ทำใหโฮล์มส์ค้นพบเงื่อนงำบางอย่างเข้าและลงมือสืบสวนโดยลากจอห์นที่ไม่รู้อีโน่อีเน่ไปด้วย แต่ระหว่างทางกลับจอห์น กลับถูกบังคับให้ไปพบกับชายปริศนาคนหนึ่ง และเขาได้เสนอเงื่อนไขบางอย่างให้กับจอห์น... บวกกับโฮล์มส์ที่ต้องไขปริศนาของคนร้ายรายได้ให้จงได้แม้ว่าตัวเขาจะต้องไปเป็นเหยื่อรายที่ 6 ก็ตาม!?

โฮล์มส์จะสามารถไขคดีได้หรือไม่? ,ใครคือคนร้ายในคดีฆาตกรรมนี้? ,ชายที่วัตสันพบคือใคร? และใครคือผู้ที่ชักใยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกันแน่!?

ทั้งหมดนี้คือเรื่องย่อของซีรีย์ชุดSherlock Holmesซึ่งเป็นผลงานสร้างของ BBC ครับ ซีรี่ย์ชุดนี้มีทั้งหมด 3 ตอน(ใช่ครับอ่านไม่ผิดหรอก 3 ตอน) ซึ่งแต่ละตอนมีความยาวประมาณชั่วโมงครึ่งได้ครับ ส่วนเรื่องความสนุกนั้นบอกได้ครับว่าสนุกมาก! จนไม่น่าเชื่อว่าผู้เขียนบทจะสามารถนำนิยายดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้ได้ขนาดนี้โดยที่ไม่ทำให้ใจความสำคัญในนิยายหายไป และสามารถเติมเต็มสิ่งใหม่ๆโดยที่ผู้อ่านนิยายมาแล้วไม่รู้สึกว่ามันแปลกตาไปแต่อย่างใด บวกกับมุขตลกที่สอดแทรกในอยู่ในเรื่องตลอดเวลาทำให้ซีรี่ย์ชุดนี้มีเสน่ห์เป็นของตัวเอง

นักแสดงนำที่รับบทโฮล์มส์นั้น ได้ เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบท ที่เป็นนักแสดงหนุ่มชื่อดังทางอังกฤษที่กำลังฮิตมากในขณะนั้นมารับบทซึ่งเขาก็สามารถแสดงเป็นโฮล์มส์ได้ดีอย่างเหลือเชื่อ ด้วยหน้าตาที่ดูหยิ่งยโสและสามารถแสดงท่าทางเกรียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ บวกกับการรัวคำพูดตอนที่โฮล์มส์วิเคราะห์ทำให้เราอึ้งว่าแกจำบทได้ยังไง ซึ่งทำให้ตัวละครโฮล์มส์เว่อร์ชั่นนี้ดูน่าหมั่นไส้กว่าเวอร์ชั่นที่แสดงโดยโรเบิร์ท ดาวน์นี่ จูเนียร์เสียอีก(ทางRDJนั่นโฮล์มส์จะดูท่าทางฉลาดและอวดเก่งหน่อยๆแต่ก็ดูไปก็น่ารักดีครับโดยเฉพาะเวลาอยู่กับหมอวัตสัน ผิด!) ไม่แปลกใจที่ตัวละครในเรื่องจะเอือมระอากับนิสัยของพี่แกจริงๆ

ส่วนทางด้านหมอวัตสันนั้นได้ มาร์ติน ฟรีแมน นักแสดงนำจากหนัง The Hobbit นั่นเอง ซึ่งเขาสามารถแสดงเป็นหมอวัตสันได้ดีพอควร และสามารถรับส่งบทได้ดีเยี่ยม เสน่ห์ชุดหนึ่งของนวนิยายเชอร์ล็อค โฮล์มส์นั้นก็คือการที่วัตสันกับโฮล์มส์นั้นอยู่ด้วยกันและสนทนากันครับ เวลาสองคนนี้คุยกันทีไรมักจะมีบทสนทนาที่เหมือนชวนขบขันอยู่เสมอ โดยที่โฮล์มส์นั้นมักจะคอยเถียงแบบเด็กๆและเอาแต่ใจในขณะที่หมอวัตสันต้องคอยควบคุมอารมณ์และโต้กลับด้วยเหตุผลให้กับยอดนักสืบสุดเกรียนนี้(สำหรับใครที่ดูเวอร์ชั่นภาพยนต์จะต้องอมยิ้มกับฉากเหล่านี้แน่นอน)

ตัวละครอื่นๆก็แสดงได้ดีครับ ทำให้เรื่องนี้ดูเพลินและสนุกสาน ส่วนจะเห็นได้เลยว่าในซีรี่ย์ชุดนี้นั้นจะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเกี่ยวข้องด้วยเยอะมากๆ อาทิ เชอร์ล็อคที่ใช้ไอโฟนในการหาข้อมูลทำให้เราเห็นเชอร์ล็อคกดโทรศัพท์ยิกๆไปตลอดทั้งเรื่อง และอุปกรณ์ที่เราสามารถพบเห็นได้ในสมัยนี้ก็ปรากฏอยู่ในเรื่องและช่วยดำเนินเรื่องไปด้วยเช่นกัน

สรุปง่ายๆก็คือสำหรับแฟนๆของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ นี่เป็นซีรี่ย์ที่คุณพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด! และสำหรับคนทั่วไปนี้ก็เป็นซีรีย์ที่ดูสนุกมากๆอีกหนึ่งเรื่องครับ

ปล. ช่วงที่ผมเขียนอยู่นี่ซีรีย์ชุดนี้ก็ได้จบซีซั่นสองไปแล้วนะครับ
ปลล. อยากสปอยล์นะครับ แต่ไม่อยากเล่า 55+


..............................

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Inception เมื่อความฝันไม่ใช่แค่ความฝัน






"ปรสิตที่เติบโตเร็วที่สุดคืออะไร? ...ไอเดีย ทำลายยากและแพร่กระจายได้ง่าย"



.............................



หนังของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนส่วนใหญ่มักจะเป็นแนวที่ลึกลับ พล็อตเรื่องชวนงุนงง และสนุก ซึ่งหนังอย่างเรื่อง Inception นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงฝีมือของโนแลนได้เป็นอย่างดี ว่าเขาสามารถทำหนังที่ซับซ้อนให้สนุกและเอาใจตลาดได้อย่างไม่ยากเย็น และเป็นหนังที่ผู้เขียนชอบมากๆอีกเรื่องหนึ่งด้วยเช่นกัน

หนังเป็นเรื่องราวของคอบป์และกลุ่มที่เป็นนักโจรกรรม แต่ทว่าเขานั้นไม่ใช่นักโจรกรรมธรรมดา พวกเขาสามารถโจรกรรมผ่านทางความฝันของเป้าหมายได้ โดยการเข้าไปในความฝันและสร้างโลกของความฝันขึ้นมา จนกระทั่งเป้าหมายเชื่อว่านี้คือความจริงและพวกเขาก็สามารถโจรกรรมได้อย่างแนบเนียนโดยที่เป้าหมายไม่มีทางรู้ตัวได้เลย

จนกระทั่งนักธุรกิจนามไซโตะต้องการให้พวกเขาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือพวกเขาต้องจัดการ Inception เป้าหมายที่เป็นนักธุรกิจที่จะสืบต่อกิจการที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านต่อจากบิดา (Inception คือ การเจาะเข้าไปในความคิดชั้นลึกสุดๆ เพื่อล้วงความลับและปลูกฝังจิตสำนึกใหม่เข้าไป ซึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดของเป้าหมายและสิ่งนั้นจะติดตัวไปตลอดชีวิต) ซึ่งภารกิจนี้นั้นทั้งยากและแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่ทว่าคอบป์ยังคงยืนยันที่จะทำภารกิจนี้เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยคดีทั้งหมดและได้กลับไปอยู่กับลูกๆของเขาอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้พวกเขาต้องหาทีมใหม่ และต้องเข้าไปในความฝันลึกถึง 3 ชั้น! ด้วยการวางแผนที่แนบเนียนและยอดเยี่ยมทำให้พวกเขาสามารถเข้าไปในความฝันของฟิชเชอร์จนได้ แต่ทว่าพวกเขากลับเจอปัญหาตั้งแต่ฝันชั้นแรกที่จู่ๆก็มีรถไฟแล่นผ่านกลางเมืองนิวยอร์ค และปะทะกับกลุ่มคล้ายๆกองกำลังป้องกันความฝันจนกระทั่งไซโตะถูกยิง แต่พวกเขาก็ยังคงต้องดำเนินภารกิจต่อไปในฝันชั้นที่สอง

ฝันชั้นที่สองพวกเขาปรากฏที่โรงแรมและเริ่มทำการล่อลวงฟิชเชอร์ให้เชื่อว่าคอบป์เป็นผู้ช่วยของเขา และพาไปยังฝันชั้นที่ 3 ซึ่งฉากนี้อาเทอร์สามารถแย่งซีนพวกพระเอกไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยฉากบู๊ตามทางเดินในโรงแรมที่หมุนไปมาชวนให้งุนงงและอึ้งว่าพวกนี้สามารถสู้กันไปได้ยังไง ไหนจะฉากบันไดพาราด็อกซ์อีกต่างหาก 

และฝันชั้นที่สามนั้นพวกเขาไปโผล่ที่ทุ่งหิมะกว้าง และมีฐานทัพตั้งอยู่ ภายในฐานทัพก็คือจิตสำนักของฟิชเชอร์ที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จจนได้ ฉากนี้ให้อารมณ์หนังแอคชั่นมากๆครับ เพราะว่าศัตรูยกมาเป็นกองทัพเลยทีเดียว แต่ทว่าพวกพระเอกก็เก่ง(เทพ)พอที่จะสามารถต่อสู้ได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ทว่าไซโตะที่ใกล้จะตายเต็มที และจู่ๆสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพระเอกก็ทำให้ภารกิจนั้นพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง!

คอบป์และพรรคพวกจะทำภารกิจหรือไม่? ,สิ่งที่อยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจของคอบป์คืออะไร? และความลับที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเกี่ยวกับ Inception!

ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวย่อๆของหนังเรื่องนี้ครับ ขอบอกไว้ก่อนว่าหนังเรื่องที่เป็นหนังที่ดูแล้วงงและบางคนอาจจะไม่งง แต่ส่วนใหญ่แล้วหนังมันชวนงง แต่ถ้าตั้งใจดูดีๆและฟังทุกประโยคในหนังอย่างไม่ตกหล่นและทำความเข้าใจกับมันอย่างช้าๆแล้วละก็ คุณก็จะไม่งงกับมันมากเท่าไรนัก และต้องขอชมผู้กำกับอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลนที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ขายไอเดียเจ๋งๆแบบนี้ออกมาได้แบบเหลือเชื่อ

ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็ทำได้ดีสมบทบาทครับ เพราะว่าตัวหนังไม่ได้เน้นทางด้านการแสดงมากนักแต่เน้นไปที่ฉากสนทนาและฉากต่อสู้หลายๆฉากที่ทำได้น่าตื่นเต้นและสุดยอดมากๆกับหนังแนวนี้ แม้ช่วงแรกจะเน้นไปที่บทสนทนาเป็นส่วนใหญ่เพราะต้องการปูเนื้อเรื่องให้เป็นระเบียบและคนดูซึมซับกับมันได้ก่อนแล้วจึงค่อยมาเร่งเครื่องเอาตอนหลังๆ ที่ทำให้พวกเราตื่นเต้นไปกับมันแบบไม่ยากเย็นนัก

ด้านดนตรีกับงานประกอบภาพก็ทำได้ดีครับ โดยเฉพาะฉากที่เมืองมาทับกันนั้นคงจะเป็นฉากที่ตราตรึงใจหลายคนไปอีกนาน และโดยเฉพาะฉากฝันชั้นสุดท้ายที่ต้องตั้งใจฟังทุกประโยคของตัวละครเพราะจะเป็นการเฉลยปมทั้งหมดในเรื่องนี้ แบบที่คนดูหลายคนเงิบไปตามๆกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจบที่จะทำให้คุณสงสัยว่ามันคือฝันหรือความเป็นจริงกันแน่?

สรุปเป็นหนังที่เซียนหนังทุกคนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ


...................................

The Dark Knight Rise ไตรภาคอันยอดเยี่ยมของอัศวินรัตติกาล




"ไม่มีความสิ้นหวังหากไร้ซึ่งความหวัง"



..........................................



และแล้วมหากาพย์อัศวินค้างคาวนามว่า Batman ฉบับรีบู้ทใหม่โดยผู้กำกับขั้นเทพอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ได้ดำเนินมาถึงภาคสุดท้ายแล้วหลังจากที่ภาคแรก Batman Begin และภาคสอง The Dark Knight ที่โกยรายได้ไปมหาศาล และภาคสองอย่าง The Dark Knight ก็ได้ขึ้นแท่นหนังระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้วด้วย ทำให้เป็นที่จับตาดูว่าไตรภาคของตำนานอัศวินรัตติกาลนี้จะจบลงเช่นไร

เนื้อเรื่องจะต่อจากภาค The Dark Knight เป็นเวลา 8 ปีครับ หลังจากที่ฮาร์วี่ เด้นท์ตายและแบทแมนรับผิดชอบว่าตัวเองเป็นคนฆ่า ทำให้เขากลายเป็นตัวร้ายของก๊อดแฮม และฮาร์วี่ เด้นท์กลายเป็นวีรบุรุษของเมืองไป หลังจากนั้นบรู๊ซ เวนย์ ก็ได้เก็บตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ของเขาตลอดเวลา ไม่ยอมออกไปพบผู้คนเนื่องจากเขานั้นได้สูญเสียทั้งคนรักและตัวตนของแบทแมนไปแล้ว จนพ่อบ้านคนสนิทอย่าง อัลเฟร็ดเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

จนกระทั่งวายร้ายนามว่า เบน ปรากฏกายขึ้นที่เมืองก๊อดแฮม นั่นทำให้บรู๊ซ เวนย์กลับมามีไฟอีกครั้งหนึ่ง เขาออกมาสวมชุดแบทแมนอีกครั้งและนำอุปกรณ์ใหม่ออกมากำราบเบนที่นำกำลังมาเพื่อปล้นตลาดหุ้นของก๊อดแฮม โดยไม่ฟังคำเตือนของอัลเฟรดเลยแม้แต่น้อย แม้จะจับโจรได้แต่ทว่าบรู๊ซกลับโดนใช้ลายนิ้วมือของตัวเองเข้าระบบเพื่อให้ขายหุ้นในบริษัทจนแทบจะล้มละลายและเขากลายเป็นอดีตมหาเศรษฐีหมดตัว แต่เขาก็ยังไม่เลิกตามล่าเบน  จนกระทั่งเขาได้พบกับซิลีน่าหรือแคทวูแมน ที่เคยมาขโมยของในคฤหาสน์ของเขาเมื่อไม่กี่คืนก่อน เธอได้พาแบทแมนไปหาเบนโดยที่บรู๊ซไม่มีทางรู้ได้เลยว่านี่คือกับดัก

เบนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของแบทแมนและพวกเขาทั้งสองก็ได้ต่อสู้กัน ผลก็คือแบทแมนแพ้หมดรูปทั้งหลังหัก หน้ากากแตก และถูกนำไปยังคุกที่ตะวันออกกลาง เป็นคุกที่มีทางออกแต่ไม่อาจออกไปได้ เหมือนให้ความหวังไว้แต่ไม่สามารถหยิบยื่นได้ ณ ที่แห่งนั้น บรู๊ซถูกทรมาณให้มองภาพแผนการณ์ที่แท้จริงของเบน ซึ่งนั่นก็คือการนำเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์มาตั้งไว้กลางเมืองและประกาศความจริงเกี่ยวกับฮาร์วี่ เด้นท์ทั้งหมด ก่อนจะขังตำรวจไว้ใต้ดินทั้งหมด ทำให้เมืองก๊อดแฮมกลายเป็นเมืองที่ไร้กฏหมาย และถูกปกครองภายใต้กองกำลังของเบน เพื่อรอเวลาเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระเบิดในอีก 5 เดือน...

บรู๊ซเวยน์จะสามารถออกมาจากคุกนรกได้หรือไม่? ,เขาจะสามารถจัดการกับเบนได้อย่างไร? และตัวการที่บงการเรื่องราวทั้งหมดคือใครกันแน่? สามารถติดตามชมได้ใน The Dark Knight Rise

เป็นอีกเรื่องที่คริสโตเฟอร์ โนแลนทำออกมาได้ดีเยี่ยมไม่เสียชื่อสองภาคที่ผ่านมา ออกจะดีกว่าสองภาคที่แล้วได้ซ้ำ เพราะว่าภาคนี้นั้นให้อารมณ์ครบทุกรสชาติ และมีฉากบู๊มันส์ๆหลายฉากเลยทีเดียว จนไม่น่าเชื่อว่าโนแลนที่ถนัดกำกับหนังแนวลึกลับและสับซ้อน จะสามารถกำกับหนังแนวระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบนี้ได้ และผู้กำกับแกก็ทำได้ดีจริงๆครับ

บทของหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ชวนหดหู่หรือกดประสาทจนคนดูปวดตับแทบแตกแบบ The Dark Knight (ถึงแม้มันจะกดดันพอสมควรก็เหอะ) แต่ทว่าใน The Dark Knight Rise นั้นมันก็ทำให้คนดูอินไปกับสถานการณ์ในเรื่องได้ และทำให้คนดูเชียร์บรู๊ซ เวยน์สุดชีวิตว่าจะสามารถจัดการกับเบนได้รึไหม และพอถึงฉากจบที่สุดแสนจะเมามันส์และซัดอารมณ์ไปแบบเต็มๆจนคุณจะต้องตะโกนว่า "ผงาด!!!" สมชื่อเรื่องอย่างแน่นอน

นักแสดงเรื่องนี้ทำได้ดีครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครเก่าๆอย่าง บรู๊ซ เวยน์ ,ผู้กำกับกอร์ดอน ,พ่อบ้านอัลเฟร็ด หรือตัวละครใหม่ๆอย่าง เบน, เซลิน่า และแมนรินดา ก็ทำได้ดีจนทำให้หนังเรื่องนี้สนุกและสมบูรณ์แบบสมชื่อผู้กำกับจริงๆ และเราอาจจะเงิบได้กับการเฉลยตัวละครบางตัวเช่นกัน และตัวร้ายภาคนี้อย่างเบน แม้จะไม่ได้โดดเด่นแบบโจ๊กเกอร์แต่ก็ทำได้ดี อาจจะเพราะเป็นธรรมชาติของตัวละครและบทที่ไม่ค่อยอำนวยก็ได้ (แต่ผมกลัวเบนจริงๆนะ ก็แกใส่หน้ากากแถมกล้ามพี่แก่แบบ...)

ส่วนงานด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฉาก หรือดนตรีประกอบก็ทำได้ดีเยี่ยมครับ บวกกับนักแสดงร่วมทุกคนที่แสดงอย่างเต็มที่ไม่แพ้นักแสดงนำทั้งหลายทำให้ฉากหลายฉากโดยเฉพาะฉากต่อสู้สุดท้ายของเรื่องดึงอารมณ์ของคนดูขึ้นมาแบบสุดๆ จนต้องปรบมือให้เลยทีเดียว แม้จะมีหลายๆอย่างในหนังที่ดูไม่สมเหตุสมผลแต่เราก็ปล่อยให้มันผ่านไปได้เพราะว่ามันเป็นแค่หนังนั่นเอง (อ้าวกรรม)

สรุป หนังเรื่องนี้สามารถปิดตำนานอัศวินรัตติกาลฉบับคริสโตเฟอร์ โนแลนไปได้อย่างงดงามโดยไม่มีอะไรติดค้าง และยังสามารถปูทางไปสู่ภาคใหม่ๆได้อย่างไม่ตัดขัดอะไรด้วย

ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ!!

...........................................................

V for Vendetta วีรบุรุษสวมหน้ากากและการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่




"ภายใต้หน้ากากนี้มีเลือดเนื้อ ภายใต้หน้ากากนี้มีความคิด
และความคิดกันกระสุนได้"



........................................



นี่คือประโยคสุดเท่จากชายสวมหน้ากากที่มีชื่อว่า V จากหนังเรื่อง V for Vendetta ที่ฉายไปในปี 2005 แล้วแต่ทว่าก็ไม่แปลกใจหากจะหยิบยกมาดูอีกสักครั้งในยุคปัจจุบันนี้ ยุคที่การเมืองยังคงขัดแย้งกันเช่นเดิมเหมือนเมื่อหลายปีก่อน และมันสะท้อนให้เราเห็นหลายๆอย่างในหนังที่เหมาะกับการเมืองไทยเรามากๆ และคุณจะรู้ที่มาของหน้ากาก กายฟอส์ก ที่เราเห็นกันบ่อยๆในช่วงนี้เลยอย่างดีเลยทีเดียว

หนังเปิดมาด้วยการเล่าประวัติของกาย ฟอส์กที่พยายามจะระเบิดรัฐสภาในอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1605 ในวันที่ 5 พฤศจิกายน แต่ทว่าเขาทำไม่สำเร็จและถูกจับแขวนคอ แต่ตัดฉากมาในอังกฤษในอนาคตซึ่งไม่ได้บอกปีชัดเจนนัก แต่น่าจะไม่ห่างกับสมัยปัจจุบันเรามากนัก หญิงสาวนามว่าอี่วี่ ได้ออกถูกเหล่าผู้ร้ายจับตัวไว้เพื่อจะทำร้ายเธอ แต่ทว่ากลับมีบุรุษสวมหน้ากากลึกลับโผล่มาช่วยเหลือเธอไว้ และแนะนำตัวเองว่าชื่อ V จากนั้นเขาก็พาเธอไปยังคาดฟ้าแห่งหนึ่งซึ่งที่นั่นVจะพาเธอไปดูแผนการณ์ของเขาที่ได้ทำไว้นั้นก็คือการระเบิดหอคอยแห่งหนึ่งในอังกฤษทิ้งในวันที่ 4 พฤศจิกายน และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น...

รัฐบาลอังกฤษในเรื่องนำโดย อดัม เซทเลอร์ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่บ้าอำนาจและพาประเทศไปสู่จุดตกต่ำด้วยการปิดหูปิดตาประชาชน หลังจากเกิดการระเบิดหอคอยทำให้เขาประกาศตามหาชายสวมหน้ากากนามว่า V คนนี้ให้ได้ โดยเขาได้มอบหมายให้นักสืบฟินซ์ทำการสืบสวน และเขาได้ไปตามล่าอีวี่ในสถานีข่าว BTN ซึ่งเป็นสถานีที่ครอบคลุมทั้งประเทศในเวลานั้น แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือชายลึกลับนามว่า V ได้ปรากฏตัวขึ้นกลางสถานีและบังคับให้สถานีออกอากาศเทปที่เขาสร้างขึ้น

ทันทีที่ใบหน้าของ V ปรากฏขึ้นบนทุกสื่อทั่วประเทศก็ได้สร้างความงุนงงแก่ประชาชน และเขาได้พูดปลุกระดมผู้คนทั่วประเทศให้ทำการปฏิวัติรัฐบาลชุดนี้ในวันที่ 5 พฤศจิกายนในอีก 1 ปีข้างหน้านี้ หลังจากนั้นเขาก็สามารถหลบหนีการจับกุมของตำรวจได้ และเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ไม่น่าเชื่ออย่างอีวี่ เขาได้พาเธอมาหลบยังปราสาทของเขาและรอวันที่ 5 พฤศจิกายนในอีก 1 ปีข้างหน้า...

อีวี่จะพบกับอะไร... ,ชายสวมหน้ากากนามว่า V คือใครกันแน่? ,และวันที่ 5 พฤศจิกายนจะเกิดขึ้นหรือไม่? ทั้งหมดนี้ต้องไปติดตามในหนังเองนะครับ

ทั้งหมดนี่คือเรื่องราวย่อๆของหนังเรื่องนี้ ซึ่งในหนังจริงๆมีรายละเอียดเยอะกว่านี้มากๆ และน่าติดตามมากกว่านี้เยอะครับ.. หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นผลงานของอลัน มัวร์ที่มีชื่อด้านการเขียนงานแนวจริงจังและดาร์คๆแบบนี้มาก ผลงานของเขาอีกเรื่องอย่าง Watchmen ที่โด่งดังก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ทว่าในฉบับภาพยนต์มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างพอสมควร

ตัวหนังนั้นทำออกมาได้ดีมากครับ สามารถทำให้เรารู้จักชายที่ชื่อ V ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะว่าตัวละครแนวสวมหน้ากากส่วนใหญ่นั้นมักจะไม่คอยพูดจา แต่ทว่ากับ Vคนนี้เขานั้นค่อนข้างไปยังคำว่า 'บ้าน้ำลาย' เลยทีเดียว เพราะว่าเขานั้นพูดมากเสียเหลือเกิน แต่ทว่าเราจะสามารถรู้จักตัวตนของVได้จากการกระทำและคำพูดของเขานั้นเอง และมันทำให้คนส่วนใหญ่รักVเหลือเกิน เพราะเขาเป็นตัวละครแบบ Anti-Hero หรือตัวละครแบบตรงข้ามกับพระเอกขี่ม้าขาวทุกประการ และประวัติอันแสนลึกลับของเขานั่นตัวหนังจะค่อยๆเปิดเผยว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ ทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้น และเขาทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร และพอถึงตอนจบเราก็เทใจให้ตัวละครนี้ไปเสียแล้ว

ตัวละครอื่นๆอย่าง อีวี่ ก็เหมือนกับประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องและไม่กล้าจะออกมากระทำการอะไรเพื่อเรียกร้องหาความยุติธรรม จนกระทั่งได้รู้จักกับVและพบกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตัวเธอไปตลอดกาล และนับสืบฟินซ์ที่เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐที่รู้ทุกอย่างแต่ทว่าเลือกที่จะไม่ทำอะไรกับมันและปล่อยเลยตามเลย จนกระทั่งเขาได้รับรู้ความจริงอันเหลือเชื่อแต่กลับโดนอำนาจที่เหนือกว่าสั่งให้ปิดปากเงียบไป แต่ในใจลึกๆเขาก็เห็นด้วยกับVเช่นกัน

การดำเนินเรื่องค่อนข้างจะเน้นบทสนทนาเป็นส่วนใหญ่ แต่บทสนทนาที่เต็มไปด้วยปรัชญาและข้อคิดดีๆจากปากของVแต่เนื้อเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยิ่งใกล้เวลา 5 พ.ย. มากเท่าไร สถานการณ์ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตอนจบเราจะต้องประทับใจกับหนังเรื่องนี้แน่นอน

จะเห็นได้ว่าหนังเรื่องนี้สะท้อนการจัดการปัญหาของรัฐบาลบางประเทศ แต่ทว่าอาจจะไม่เหมาะกับประเทศไทยเราเท่าไรนัก เนื่องจากเราไม่ได้โดนกดขี่ขนาดนั่นและประเทศเราก็ไม่ได้แย่ขนาดนี้ แต่เหมาะกับการที่จะซับซึมคำคมและปรัญชาต่างๆในเรื่องครับ

ต้องขอบคุณคนเขียนบทภาพยนต์ที่เขียนบทเจ๋งๆแบบนี้ออกมาได้ และนักแสดงทุกคนก็เล่นได้ดีมากครับโดยเฉพาะฮูโก้ที่รับบทเอเย่นต์จากหนังเรื่อง The Matrix นั่นเอง เฮียแกแสดงได้เก่งมากๆโดยเฉพาะเรื่องนี้ที่สามารถแสดงได้ดีจนทำให้คนดูรู้สึกว่านี่คือ Vจริงๆ แม้ว่าทั้งเรื่องเราจะไม่ได้เห็นหน้าของแกเลยแม้แต่แวบเดียว!

สรุปว่าเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับหนังแนวนี้ครับ อาจจะไม่ถูกใจนักสำหรับคนที่ต้องการดูหนังแอคชั่นแต่ก็สามารถซึมซับเนื้อเรื่องได้ดีเช่นกัน

ขอแถมครับ สัญลักษณ์ตัว Vในเรื่องนั้นสามารถแปลได้หลายความหมายมากๆ ลองไปดูในหนังแล้วลองหาดูสิครับ ว่า V ย่อมาจากอะไรกันแน่...

..........................................................


วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Person of Interest เมื่อ Batman ไม่ได้มีแค่ Gotham







“ผู้คนไม่เป็นเหมือนอย่างที่เราคิดเสมอไปหรอก”

       
…....................




      เมื่อพูดถึงหนังหรือซีรีย์แนวที่ผมชอบแล้วก็คงไม่พ้นแนวสืบสวนสอบสวนเป็นแน่แท้ เพราะว่าเนื้อเรื่องแนวนี้นั้นมักจะสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้ชมได้ไม่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปมปริศนาลึกลับๆหรือปริศนาที่ยากๆโผล่มามักจะทำให้เราสนใจเรื่องนี้และติดตามมันต่อๆไปเรื่อยๆ เหมือนยาเสพติด แต่นอนนอนว่ามันคุ้มค่าที่เราจะตามมันต่อ

      เมื่อพูดถึงซีรีย์สืบสวนที่ดังและเป็นที่นิยมแล้วก็คงต้องนึกถึง CSI เป็นแน่แท้ เพราะว่ารายนี้เขาทำมาหลายปีแล้ว ซีซั่นต่างๆก็มีอีกหลายซีซํ่น เพราะเนื้อเรื่องที่เป็นหน่วยสืบสวนคอยแก้ปริศนาการฆาตกรรมในเมืองต่างๆ แต่ละคดีก็ดูเหมือนจะยากเกินความสามารถของพวกเขา แต่ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือสุดเทพเกินคำบรรยายทำให้พวกเขาแก้คดีได้อย่างน่าทึ่ง และพวกเราก็ติดตามชมต่อไป

      แต่วันนี้ผมได้ดูซีรีย์เรื่องหนึ่งที่เป็นแนวสืบสวนเหมือนกัน แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานภายใต้กฏหมายและพวกเขาทำงานอย่างลับๆ โดยไม่ให้ใครรู้โดยอาศัยอุปกรณ์เพียงชิ้นเดียว คอยปราบปรามความชั่วร้ายภายใต้นครแห่งอาชญากรรม... ให้อารมณ์แบบ Batman หรือ The Dark Knight เลยทีเดียว แต่พวกเขาเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีชุดเกราะหรืออุปกรณ์ขั้นเทพแต่อย่างใด

     ชื่อเรื่องนี้ก็คือ Person of Interest ครับ

   เรื่องย่อนี้ก็คือ หลังจากเหตุการณ์ 911 หรือเหตุการณ์ที่มีเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ดเทรนที่สหรัฐอเมริกา รัฐบาลอเมริกาได้อำนาจในการตรวจสอบข้อมูลทุกอย่างที่ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับความไม่สงบของประเทศ และ ฮาโรลด์ ฟินช์ ได้สร้างอุปกรณ์ที่เรียกว่า เดอะ แมชชีน ที่สามารถตรวจสอบพฤติกรรมของผู้คนได้ แต่ทว่ารัฐบาลจะจัดการเฉพาะผู้คนที่มีผลต่อความมั่งคงของประเทศเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆพวกเขาจะไม่สนใจ ทำให้ฟินซ์ต้องออกมาจัดการเองกับทีมของเขา...

   เนื้อเรื่องของซีรีย์ชุดนี้ก็มีประมาณนี้แหละครับ โดยเดอะแมชชีนนั้นจะตรวจสอบผ่านกล้องวงจรปิดทุกตัวบนนิวยอร์คที่ไม่ต้องบอกก็รู็ว่ามีทุกที่นั่นแหละครับ แล้วส่งหมายเลขประกันสังคมของ 'ผู้ต้องสงสัย' ออกมา ซึ่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพวกเขาจะตกเป็นเหยื่อหรือเป็นผู้กระทำความรุนแรงเอง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของประเอกอย่าง จอห์น รีส ที่เป็นอดีตสายลับและเบื้องหลังลึกลับพอๆกับฟินซ์ รีสต้องทำหน้าที่จับตาดูเป้าหมายและคอยดูว่าเขาคือเหยื่อหรืออะไรกันแน่ และผู้ต้องสัยแต่ละคนก็เป็นประชาชนปกติธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไปในนิวยอร์คนั่นแหละครับ

       ความสนุกของเรื่องนี้ก็คือการสืบหาว่าหมายเลขที่เดอะแมชชีนส่งมานั่น เป็นเหยื่อหรือผู้กระทำกันแน่ เพราะว่าพวกเราไม่มีทางรู้ได้เลย แม้กระทั่งตัวละครในเรื่องเองก็ตาม ทำให้มีการหักมุมกันหลายต่อหลายตอน และแทบจะทุกตอนจนเราชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นคนดีหรือเลวกันแน่ และยังทิ้งปมปริศนาไว้หลายต่อหลายอย่าง บวกกับตัวละครอย่างรีสนั้นให้อารมณ์แบบ Batman มากๆ โดยเฉพาะความหล่อและความเทพที่ไม่เป็นรองใคร แถมแกยังโดนผู้ร้ายกระทืบบ่อยๆด้วยเช่นกัน บวกกับนายตำรวจอย่าง ฟัสโก้ ที่เป็นตำรวจคอรัปชั่นที่โดนติดร่างแหมาช่วยเหลือพวกรีสด้วยอีกคน และนอกจากนั้นพวกเขาต้องหนีการตามล่าของกรมตำรวจหลายนายที่พยายามจะจับตัวเขา

      หากดูจากคนเขียนบทแล้ว ไม่แปลกใจว่าทำไมซีรีย์ชุดนี้ให้อารมณ์แบบหนัง the Dark Knight ขนาดนี้ เพราะคนเขียนบทคือโจนาธาน โนแลน น้องชายของคริสโตเฟอร์ โนแลน (ที่กำกับแบ็ทแมนฉบับรีบู๊ตทั้งสามภาค) เป็นผู้นำในการสร้างสรรค์ โจนาธานผู้นี้คือคนที่มีส่วนร่วมในการเขียนบทให้กับหนังเทพๆ หลายเรื่องของคริสโตเฟอร์ โนแลน ไล่มาตั้งแต่ Memento, The Prestige และที่สำคัญเลยก็คือ The Dark Knight และ The Dark Knight Rises นั่นจึงไม่แปลก ถ้าลักษณะตัวละครหลักของซีรีย์เรื่องนี้จะชวนให้นึกถึงแบ็ทแมนอยู่กลายๆ

     ช่วงที่ผู้เขียนเขียนอยู่นี้ เนื้อเรื่องของไปไกลถึง SS2 แล้ว เมื่อพวกเขาพบกับศัตรูที่ร้ายกาจและแฮ็คเกอร์มือฉมังที่คอยเล่นงานพวกเขาอยู่ตลอดเวลา และปมปริศนาหลายๆอย่างคอยๆจะคลี่คลายออกมาบางแล้ว แต่ก็ยังคงกั๊กส่วนใหญ่ไว้เหมือนเดิม...

      สรุปซ๊รีย์ชุดนี้นั่นควรค่าแก่การรับชมครับ สำหรับผู้ที่ชอบแนวสืบสวนและชอบหนัง the Dark Knight แล้วละก็ คุณไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง





..........................................