วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

The Dark Knight Rise ไตรภาคอันยอดเยี่ยมของอัศวินรัตติกาล




"ไม่มีความสิ้นหวังหากไร้ซึ่งความหวัง"



..........................................



และแล้วมหากาพย์อัศวินค้างคาวนามว่า Batman ฉบับรีบู้ทใหม่โดยผู้กำกับขั้นเทพอย่างคริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ได้ดำเนินมาถึงภาคสุดท้ายแล้วหลังจากที่ภาคแรก Batman Begin และภาคสอง The Dark Knight ที่โกยรายได้ไปมหาศาล และภาคสองอย่าง The Dark Knight ก็ได้ขึ้นแท่นหนังระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้วด้วย ทำให้เป็นที่จับตาดูว่าไตรภาคของตำนานอัศวินรัตติกาลนี้จะจบลงเช่นไร

เนื้อเรื่องจะต่อจากภาค The Dark Knight เป็นเวลา 8 ปีครับ หลังจากที่ฮาร์วี่ เด้นท์ตายและแบทแมนรับผิดชอบว่าตัวเองเป็นคนฆ่า ทำให้เขากลายเป็นตัวร้ายของก๊อดแฮม และฮาร์วี่ เด้นท์กลายเป็นวีรบุรุษของเมืองไป หลังจากนั้นบรู๊ซ เวนย์ ก็ได้เก็บตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ของเขาตลอดเวลา ไม่ยอมออกไปพบผู้คนเนื่องจากเขานั้นได้สูญเสียทั้งคนรักและตัวตนของแบทแมนไปแล้ว จนพ่อบ้านคนสนิทอย่าง อัลเฟร็ดเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

จนกระทั่งวายร้ายนามว่า เบน ปรากฏกายขึ้นที่เมืองก๊อดแฮม นั่นทำให้บรู๊ซ เวนย์กลับมามีไฟอีกครั้งหนึ่ง เขาออกมาสวมชุดแบทแมนอีกครั้งและนำอุปกรณ์ใหม่ออกมากำราบเบนที่นำกำลังมาเพื่อปล้นตลาดหุ้นของก๊อดแฮม โดยไม่ฟังคำเตือนของอัลเฟรดเลยแม้แต่น้อย แม้จะจับโจรได้แต่ทว่าบรู๊ซกลับโดนใช้ลายนิ้วมือของตัวเองเข้าระบบเพื่อให้ขายหุ้นในบริษัทจนแทบจะล้มละลายและเขากลายเป็นอดีตมหาเศรษฐีหมดตัว แต่เขาก็ยังไม่เลิกตามล่าเบน  จนกระทั่งเขาได้พบกับซิลีน่าหรือแคทวูแมน ที่เคยมาขโมยของในคฤหาสน์ของเขาเมื่อไม่กี่คืนก่อน เธอได้พาแบทแมนไปหาเบนโดยที่บรู๊ซไม่มีทางรู้ได้เลยว่านี่คือกับดัก

เบนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของแบทแมนและพวกเขาทั้งสองก็ได้ต่อสู้กัน ผลก็คือแบทแมนแพ้หมดรูปทั้งหลังหัก หน้ากากแตก และถูกนำไปยังคุกที่ตะวันออกกลาง เป็นคุกที่มีทางออกแต่ไม่อาจออกไปได้ เหมือนให้ความหวังไว้แต่ไม่สามารถหยิบยื่นได้ ณ ที่แห่งนั้น บรู๊ซถูกทรมาณให้มองภาพแผนการณ์ที่แท้จริงของเบน ซึ่งนั่นก็คือการนำเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์มาตั้งไว้กลางเมืองและประกาศความจริงเกี่ยวกับฮาร์วี่ เด้นท์ทั้งหมด ก่อนจะขังตำรวจไว้ใต้ดินทั้งหมด ทำให้เมืองก๊อดแฮมกลายเป็นเมืองที่ไร้กฏหมาย และถูกปกครองภายใต้กองกำลังของเบน เพื่อรอเวลาเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระเบิดในอีก 5 เดือน...

บรู๊ซเวยน์จะสามารถออกมาจากคุกนรกได้หรือไม่? ,เขาจะสามารถจัดการกับเบนได้อย่างไร? และตัวการที่บงการเรื่องราวทั้งหมดคือใครกันแน่? สามารถติดตามชมได้ใน The Dark Knight Rise

เป็นอีกเรื่องที่คริสโตเฟอร์ โนแลนทำออกมาได้ดีเยี่ยมไม่เสียชื่อสองภาคที่ผ่านมา ออกจะดีกว่าสองภาคที่แล้วได้ซ้ำ เพราะว่าภาคนี้นั้นให้อารมณ์ครบทุกรสชาติ และมีฉากบู๊มันส์ๆหลายฉากเลยทีเดียว จนไม่น่าเชื่อว่าโนแลนที่ถนัดกำกับหนังแนวลึกลับและสับซ้อน จะสามารถกำกับหนังแนวระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบนี้ได้ และผู้กำกับแกก็ทำได้ดีจริงๆครับ

บทของหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ชวนหดหู่หรือกดประสาทจนคนดูปวดตับแทบแตกแบบ The Dark Knight (ถึงแม้มันจะกดดันพอสมควรก็เหอะ) แต่ทว่าใน The Dark Knight Rise นั้นมันก็ทำให้คนดูอินไปกับสถานการณ์ในเรื่องได้ และทำให้คนดูเชียร์บรู๊ซ เวยน์สุดชีวิตว่าจะสามารถจัดการกับเบนได้รึไหม และพอถึงฉากจบที่สุดแสนจะเมามันส์และซัดอารมณ์ไปแบบเต็มๆจนคุณจะต้องตะโกนว่า "ผงาด!!!" สมชื่อเรื่องอย่างแน่นอน

นักแสดงเรื่องนี้ทำได้ดีครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครเก่าๆอย่าง บรู๊ซ เวยน์ ,ผู้กำกับกอร์ดอน ,พ่อบ้านอัลเฟร็ด หรือตัวละครใหม่ๆอย่าง เบน, เซลิน่า และแมนรินดา ก็ทำได้ดีจนทำให้หนังเรื่องนี้สนุกและสมบูรณ์แบบสมชื่อผู้กำกับจริงๆ และเราอาจจะเงิบได้กับการเฉลยตัวละครบางตัวเช่นกัน และตัวร้ายภาคนี้อย่างเบน แม้จะไม่ได้โดดเด่นแบบโจ๊กเกอร์แต่ก็ทำได้ดี อาจจะเพราะเป็นธรรมชาติของตัวละครและบทที่ไม่ค่อยอำนวยก็ได้ (แต่ผมกลัวเบนจริงๆนะ ก็แกใส่หน้ากากแถมกล้ามพี่แก่แบบ...)

ส่วนงานด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฉาก หรือดนตรีประกอบก็ทำได้ดีเยี่ยมครับ บวกกับนักแสดงร่วมทุกคนที่แสดงอย่างเต็มที่ไม่แพ้นักแสดงนำทั้งหลายทำให้ฉากหลายฉากโดยเฉพาะฉากต่อสู้สุดท้ายของเรื่องดึงอารมณ์ของคนดูขึ้นมาแบบสุดๆ จนต้องปรบมือให้เลยทีเดียว แม้จะมีหลายๆอย่างในหนังที่ดูไม่สมเหตุสมผลแต่เราก็ปล่อยให้มันผ่านไปได้เพราะว่ามันเป็นแค่หนังนั่นเอง (อ้าวกรรม)

สรุป หนังเรื่องนี้สามารถปิดตำนานอัศวินรัตติกาลฉบับคริสโตเฟอร์ โนแลนไปได้อย่างงดงามโดยไม่มีอะไรติดค้าง และยังสามารถปูทางไปสู่ภาคใหม่ๆได้อย่างไม่ตัดขัดอะไรด้วย

ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ!!

...........................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น